"เหตุที่พุทธสูญสิ้น ที่อินเดีย"
โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
.
ข้อที่ควรจะกล่าวในที่นี้สั กหน่อย เป็นคติในทางธรรม ก็คือเรื่องพระพุทธศาสนาสูญ สิ้นไปจากอินเดีย ควรกล่าวถึงเหตุทั้งหลายที่ ทำให้พุทธศาสนาต้องสูญสิ้นไ ปจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชัดเจน เมื่อ พ.ศ.๑๗๐๐
๑. เหตุอันแรกที่เราเห็นได้ พูดง่ายๆ ว่า ชาวพุทธเราใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด ้วย นี่ก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไป เพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเ กิดขึ้นนั้น ก็สอนแต่เพียงหลักธรรมเป็นก ลางให้คนประพฤติดี ทำความดี จะนับถือหรือไม่นับถือก็ไม่ ได้ว่าอะไร ถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไปสู่คติท ี่ดีหมด ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นชาวพ ุทธจึงจะไปสวรรค์ได้ หรือว่าชาวพุทธที่มานับถือแ ล้วทำตัวไม่ดีก็ไปนรกเหมือน กัน อะไรทำนองนี้
.
เมื่อชาวพุทธได้เป็นใหญ่ เช่นอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ครองแผ่นดินก็อุปถัมภ์ทุกศา สนาเหมือนกันหมด แต่ผู้ที่ได้รับอุปถัมภ์เขา ไม่ได้ใจกว้างตามด้วย เพราะฉะนั้นพวกอำมาตย์พราหม ณ์ของราชวงศ์อโศกเอง ก็เป็นผู้กำจัดราชวงศ์อโศก จะเป็นว่าอำมาตย์ที่ชื่อปุษ ยมิตรก็ได้ปลงพระชนม์พระเจ้ าแผ่นดินที่เป็นหลานของพระเ จ้าอโศก แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ที่กำจั ดชาวพุทธ อย่างที่เล่าเมื่อกี้ แต่ก็กำจัดได้ไม่เสร็จสิ้น มีมาเรื่อย จนกระทั่งถึงพระเจ้าหรรษวรร ธนะครองราชย์ อำมาตย์ฮินดูก็กำจัดพระองค์ เสียอีก ก็เป็นมาอย่างนี้ จนในที่สุดมุสลิมก็เข้ามาบุ กกำจัดเรียบไปเลย เมื่อ พ.ศ.๑๗๐๐ นี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่เห ็นได้ง่าย ยังมีเหตุอื่นอีก ชาวพุทธเองก็เป็นเหตุด้วย อย่าไปว่าแต่คนอื่นเขา
.
ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน
.
ในด้านหนึ่ง ความใจกว้างของชาวพุทธนั้น บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนกลายเป็นใจกว้างลืมหลักหร ือใจกว้างอย่างไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้ กว้างไปกว้างมาเลยกลายเป็นก ลมกลืนกับเขา จนศาสนาของตัวเองหายไปเลย ที่หายไปให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คือ ไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดู ตอนที่มุสลิมยังไม่เข้ามา ศาสนาพุทธเราก็อ่อนมากแล้ว เพราะไปกลมกลืนกับศาสนาฮินด ูมาก ปล่อยให้ความเชื่อถือของฮิน ดูเข้ามาปะปน
.
อย่างในถ้ำอชันตา เป็นที่แสดงประวัติพระพุทธศ าสนาได้อย่างดี จะเห็นได้ตั้งแต่เจริญจนถึง เสื่อม ตอนต้นจะเห็นว่าเดิมก็บริสุ ทธิ์ดี เป็นพุทธศาสนาเถรวาท ต่อมาก็กลายเป็นมหายาน มีคติความเชื่อของทางฮินดูเ ข้ามาปะปนมากขึ้น ผลที่สุดพุทธหมด จะเห็นได้ที่เอลโลร่า ผลสุดท้ายเหลือแต่ถ้ำฮินดู ถ้ำพุทธถูกกลืนหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นคติสอนใจอ ันหนึ่งที่ว่าใจกว้างจนลืมห ลัก ไม่ยืนยันรักษาหลักของตัวเอ งไว้ กลมกลืนจนกระทั่งตัวเองสูญห ายไป
.
ในความใจกว้างและกลมกลืนนั้ น มีเรื่องหนึ่งที่น่าจะกล่าว ไว้ คือลักษณะการกลมกลืนกับศาสน าฮินดู ศาสนาฮินดูนั้นมีลักษณะสำคั ญคือ การเชื่อเรื่องฤทธิ์เรื่องป าฏิหารย์ เรื่องการดลบันดาลของเทพเจ้ า ตอนที่คณะเดินทาง (เยือนอินเดียของท่านพระธรร มปิฎก) โยมจะได้ยินท่านพระครูทวี (ไกด์) เล่าถึงนิทานของฮินดูมากมาย มีแต่เรื่องเทพเจ้าองค์นั้น มีฤทธิ์อย่างนั้น ดลบันดาลอย่างนั้น สาปกันอย่างนั้น เอาฤทธิ์มาใช้ทำลายกันต่างๆ โดยมากเป็นเรื่องของโลภะโทส ะโมหะ พุทธศาสนาในยุคหลังก็ทำให้ค นไปหวังพึ่งเรื่องฤทธิ์ เรื่องเทพเจ้าอะไรต่ออะไรมา กขึ้น จนลืมหลักของตัวเอง
.
คลาดหลักกรรมคลำไปหาฤทธิ์
.
๒. ในทางพระพุทธศาสนานั้น จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าก็มีฤท ธิ์เหมือนกัน เป็นปาฏิหารย์อย่างหนึ่งในบ รรดาปาฏิหารย์ ๓ แต่ต้องยืนยันหลักไว้เสมอว่ า ปาฏิหารย์ที่สำคัญที่สุดคือ อนุศาสนีปาฏิหารย์ ปาฏิหารย์ที่เป็นหลักคำสอน ไม่ใช่ปาฏิหารย์ที่เป็นการแ สดงฤทธิ์ต่างๆ ในทางพุทธศาสนาให้ถือการกระ ทำของเราเป็นหลัก ส่วนฤทธิ์หรือเทพเจ้านั้น จะมาเป็นตัวประกอบหรือช่วยเ สริมการ กระทำของเรา จะต้องเอาการกระทำของตัวเอง เป็นหลักเสียก่อน ถ้าหากว่าเราไม่เอาการกระทำ หรือกรรมเป็นหลัก เราก็จะไปหวังพึ่งการดลบันด าลของเทพเจ้า หวังพึ่งฤทธิ์ของผู้อื่นมา ทำให้ ไม่ต้องกระทำด้วยตนเอง ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ความเสื่อมไป
.
จุดที่เสื่อมก็คือตอนที่ชาว พุทธลืมหลักกรรม ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็ นหลัก ไปหวังพึ่งเทพเจ้า ไปหวังพึ่งฤทธิ์พึ่งปาฏิหาร ย์ ตราบใดที่เรายืนหลักได้ คือเอากรรมเอาการกระทำเป็นห ลัก แล้วถ้าจะไปนับถือฤทธิ์ปาฏิ หารย์บ้าง ฤทธิ์ปาฏิหารย์นั้น ก็มาประกอบมาเสริมการกระทำก ็ยังพอยอม แต่ถ้าใครใจแข็งพอก็ไม่ต้อง พึ่งฤทธิ์ ไม่ต้องพึ่งปาฏิหารย์อะไรทั ้งสิ้น เพราะพุทธศาสนานั้น ถ้าเราเอากรรมหรือการ กระทำเป็นหลักแล้ว ก็จะยืนหยัดอยู่ได้เสมอ
.
เฉยไม่ใช่ไร้กิเลส แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น
.
๓. อีกอย่างหนึ่งที่ควรระวัง คือพอมีภัยหรือเรื่องกระทบก ระเทือนส่วนรวม ชาวพุทธไม่น้อยมีลักษณะที่ว างเฉย ไม่เอาเรื่อง แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไป เห็นว่าใครไม่เอาเรื่องเอาร าว มีอะไรเกิดขึ้นก็เฉยๆ ไม่เอาเรื่อง กลายเป็นดีไม่มีกิเลส เห็นอย่างนี้ไปก็มี ในทางตรงข้ามถ้าไปยุ่งก็แสด งว่ามีกิเลส อันนี้อาจจะพลาดจากคติพุทธศ าสนาไปเสียแล้ว และจะกลายเป็นเหยื่อเขา ในทางพุทธศาสนานั้น ผู้ไม่มีกิเลสท่านยุ่งกับเร ื่องที่กระทบกระเทือนกิจการ ส่วนรวม แต่การยุ่งของท่านมีลักษณะท ี่ไม่เป็นไปด้วยกิเลส คือทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ทำเป็น คติไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
.
กิจการส่วนรวมเป็นเรื่องที่ จะต้องร่วมกันพิจารณาเอาใจใ ส่ นี้เป็นคติทางพุทธศาสนา แต่ในบางยุคบางสมัยเราไปถือ ว่าไม่เอาธุระ จะมีเรื่องราวกระทบกระเทือน มีภัยเกิดขึ้นกับส่วนรวมก็ไ ม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรต่างๆ แล้วเป็นว่าไม่มีกิเลสไปก็ม ี อย่างนี้เป็นทางหนึ่งของควา มเสื่อมในพระพุทธศาสนา คติที่ถูกต้องนั้นสอดคล้องก ับหลักความจริงที่ว่า พระอรหันต์หรือท่านผู้หมดกิ เลสนั้น เป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนสมบู รณ์แล้ว หมดกิจที่จะต้องทำเพื่อตัวเ องแล้ว จึงมุ่งแต่จะบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อผู้อื่น ขวนขวายในกิจของส่วนรวมอย่า งเต็มที่
.
โจรเข้ามาปล้นศาสน์ เลยยกวัดให้แก่โจร
.
๔. อีกอย่างหนึ่งคือ การฝากศาสนาไว้กับพระ ชาวพุทธเป็นจำนวนมากทีเดียว ชอบฝากพระศาสนาไว้กับพระอย่ างเดียว แทนที่จะถือตามคติของพระพุท ธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระศาสนา นั้นอยู่ด้วยบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะต้องช่วยกัน
.
ทีนี้ พวกเรามักจะมองว่าพระศาสนาเ ป็นเรื่องของพระ บางทีเมื่อมีพระประพฤติไม่ด ี ชาวบ้านบางคนบอกว่าไม่อยากน ับถือแล้วพุทธศาสนาอย่างนี้ ก็มี แทนที่จะเห็นว่าพระพุทธศาสน าเป็นของเรา พระองค์นี้ประพฤติไม่ดีเราต ้องช่วยกันแก้ ต้องเอาออกไป แทนที่จะคิดอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าเรายกศาสนาใ ห้พระองค์นั้น เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้น บ้านของเรา แทนที่จะรักษาสมบัติของเรา กลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเส ีย พระองค์ที่ไม่ดีก็เลยดีใจกล ายเป็นเจ้าของศาสนา เรายกให้แล้วบอกไม่เอาแล้วศ าสนานี้ เป็นอย่างนี้ก็มี นี่เป็นทัศนคติที่ผิด ชาวพุทธเราทั่วไปไม่น้อยมีค วามคิดแบบนี้ ทำเหมือนกับว่าพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของพระ เราก็ไม่ต้องรู้ด้วย
.
พุทธแต่ในนาม ไม่ต้องทำอะไรก็เป็นพุทธ
.
ยิ่งกว่านั้น ชาวพุทธมักไม่มีข้อปฏิบัติป ระจำตัวของตัวเองอย่างในศาส นาอื่น ยกตัวอย่างชาวมุสลิม เขาต้องมีละหมาดวันละ ๕ ครั้ง เป็นข้อปฏิบัติที่แสดงว่าเป ็นศาสนิกของศาสนานั้นๆ แต่ชาวพุทธคฤหัสถ์ของเราไม่ ค่อยมีข้อปฏิบัติของตัวเองท ี่ชัดออกมาว่า ถ้าเป็นชาวพุทธจะต้องปฏิบัต ิตัว ต้องรักษาข้อปฏิบัติอะไรบ้า ง ดังนี้ เมื่อไม่มีพระเป็นหลักศาสนา ก็หมด ตอนนั้นมุสลิมมาฆ่าพระหมด ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ไม่มี หลักเลยถูกฮินดูกลืนหมด เพราะฉะนั้น ที่ว่าสูญสิ้นนั้น คือหนึ่ง ถูกเขาปราบทำลาย สอง ถูกเขากลืนไปง่ายๆ นี่เป็นเพราะฝากพระศาสนาไว้ กับพระอย่างเดียว นี่เป็นอีกข้อหนึ่ง
.
กลืนกับฮินดู แต่ไกลกับมวลชน
.
อีกข้อหนึ่งที่โน้มไปในทางท ี่ทำให้เกิดการกลมกลืนได้ง่ ายก็คือ ตอนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรือ งอยู่แล้ว และราชวงศ์ฮินดูขึ้นครองราช ย์มีอำนาจเข้มแข็งเป็นผู้อุ ปถัมภ์พุทธศาสนา ชาวพุทธก็ใจอ่อนเพราะความใจ กว้างอยู่แล้ว ก็เอาใจผู้ปกครอง อย่างนั้นก็ได้ยังไงก็ได้ ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นหายไปเลย กลมกลืนกันไปหมด แต่ไปรวมอยู่ข้างในศาสนาฮิน ดู พระพุทธเจ้ากลายเป็นอวตารปา งหนึ่งของพระนารายณ์
.
อีกข้อหนึ่งก็คือพระ พอได้รับการอุปถัมภ์มากมีคว ามสุขสบาย บางส่วนก็มีความประพฤติย่อห ย่อน และอาจจะเหินห่างจากประชาชน ทั่วๆ ไป เพราะว่าได้รับความอุปถัมภ์ จากพระมหากษัตริย์เป็นต้น อย่างที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่ว่ารุ่งเรืองนั้น มีความเสื่อมอยู่ในตัวด้วย พระเจ้าแผ่นดินยกหมู่บ้านที ่อยู่รอบบริเวณนั้น เก็บภาษีถวายบำรุงมหาวิทยาล ัยนาลันทา พระสงฆ์ก็เลยไม่ได้เกี่ยวข้ องกับประชาชน อาศัยการอุปถัมภ์ของพระเจ้า แผ่นดินอยู่สบาย เรียนหนังสือไปเป็นนักปรัชญ าอะไรต่ออะไรถกเถียงกันไป ห่างประชาชนนานๆ เข้า พุทธศาสนาก็หมดความหมายไปจา กประชาชน
.
ศาสนสถานโอฬารหรู เครื่องเชิดชูหรือศัตรูของพ ระศาสนา
.
ต่อจากนั้นก็มาถึงคติการสร้ างสิ่งใหญ่โต ให้สังเกตว่าเมื่อมีการสร้า งสิ่งใหญ่โต มากๆ ไม่ช้าศาสนามักจะค่อยๆ เสื่อม บางทีพระอาจจะมัววุ่นวายหรื อเพลินกับงานพวกนี้ จนลืมทำหน้าที่หลักของตัวเอ ง ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา รายละเอียดว่าเป็นเพราะเรื่ องอะไร แต่อย่างน้อยข้อพิจารณาสำคั ญ คือจะต้องแยกว่าเป็นการก่อส ร้างเพื่อใช้งานที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นการสร้างเพียงเพื่อ แสดงความยิ่งใหญ่
.
จะอย่างไรก็ตาม ในการสร้างสิ่งใหญ่โตจะต้อง คำนึงถึงเสมอว่า จะต้องมีคนไว้ใช้สิ่งก่อสร้ างนั้น เอาไว้รักษาบ้าง เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์บ้ าง เพราะสร้างขึ้นมาทำไม ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีนี้คนที่จะใช้ก็ต้องเป็นค นที่มีธรรม เป็นผู้ปฏิบัติตามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อสร้างสิ่งก ่อสร้างใหญ่โตก็ต้องสร้างคน ไปด้วย สร้างคนดีที่จะมาใช้รักษาสิ ่งที่สร้างนั้น
.
การลืมสร้างคนนี้ อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พุ ทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไป เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างที่ ใหญ่โตนั้น เมื่อเหลือหลงมาก็กลายเป็นเ หยื่อของผู้อื่นต่อไป หนึ่ง ก็กลายเป็นสิ่งมีค่าที่เขาอ ยากครอบครอง สอง เขาก็เอาไปใช้ในศาสนาของเขา ถ้าไม่ใช้เขาก็เอามาลบหลู่ใ ห้เป็นที่กระทบกระเทือนใจแก ่พวกเรา อย่างที่ได้ไปเห็นกันหลายๆ แห่ง..”
โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
.
ข้อที่ควรจะกล่าวในที่นี้สั
๑. เหตุอันแรกที่เราเห็นได้ พูดง่ายๆ ว่า ชาวพุทธเราใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด
.
เมื่อชาวพุทธได้เป็นใหญ่ เช่นอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช
.
ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน
.
ในด้านหนึ่ง ความใจกว้างของชาวพุทธนั้น บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนกลายเป็นใจกว้างลืมหลักหร
.
อย่างในถ้ำอชันตา เป็นที่แสดงประวัติพระพุทธศ
.
ในความใจกว้างและกลมกลืนนั้
.
คลาดหลักกรรมคลำไปหาฤทธิ์
.
๒. ในทางพระพุทธศาสนานั้น จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าก็มีฤท
.
จุดที่เสื่อมก็คือตอนที่ชาว
.
เฉยไม่ใช่ไร้กิเลส แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น
.
๓. อีกอย่างหนึ่งที่ควรระวัง คือพอมีภัยหรือเรื่องกระทบก
.
กิจการส่วนรวมเป็นเรื่องที่
.
โจรเข้ามาปล้นศาสน์ เลยยกวัดให้แก่โจร
.
๔. อีกอย่างหนึ่งคือ การฝากศาสนาไว้กับพระ ชาวพุทธเป็นจำนวนมากทีเดียว
.
ทีนี้ พวกเรามักจะมองว่าพระศาสนาเ
.
พุทธแต่ในนาม ไม่ต้องทำอะไรก็เป็นพุทธ
.
ยิ่งกว่านั้น ชาวพุทธมักไม่มีข้อปฏิบัติป
.
กลืนกับฮินดู แต่ไกลกับมวลชน
.
อีกข้อหนึ่งที่โน้มไปในทางท
.
อีกข้อหนึ่งก็คือพระ พอได้รับการอุปถัมภ์มากมีคว
.
ศาสนสถานโอฬารหรู เครื่องเชิดชูหรือศัตรูของพ
.
ต่อจากนั้นก็มาถึงคติการสร้
.
จะอย่างไรก็ตาม ในการสร้างสิ่งใหญ่โตจะต้อง
.
การลืมสร้างคนนี้ อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พุ
ขอขอบคุณ
ที่มาของบทความ
ที่มาของบทความ